ข้อยกเว้นการเก็บดอกเบี้ยเกิน 15%
ข้อยกเว้นให้เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่า ร้อยละ 15 ต่อปี
ในอดีต ประเทศไทยเคยมีกฎหมาย ห้ามเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราสูง มาตั้งแต่ พ.ศ. 2475
ในปี 2560 มีการปรับปรุงใช้ พ.ร.บ.ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทความนี้ อาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกหนี้ ที่จะได้รู้ว่า ใครเข้าข่ายข้อยกเว้นที่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้
สาระสำคัญ
ในมุมของลูกหนี้ ความเสียเปรียบเกิดจากความไม่รู้ว่า พ.ร.บ.ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 และไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหนี้ ซึ่งอาจเพราะเกรงกลัวผู้ให้กู้ หรือเกรงว่าหากวันหนึ่งวันใดต้องหยิบยืมอีก จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
ในมุมของเจ้าหนี้ ก็มีประเด็นน่าเห็นใจ โดยเฉพาะผู้ให้กู้ที่กฎหมายระบุ ‘ข้อยกเว้น’ ดังกล่าว
พ.ร.บ.ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ฉบับนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการได้ เพราะกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการกู้หนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ อีกทั้งมีบทลงโทษต่อเจ้าหนี้ที่รุนแรง
สิ่งที่เจ้าหนี้ต้องรู้
หากเจ้าหนี้ หรือผู้ปล่อยเงินกู้กระทำการใดๆ เข้าข่าย 3 ข้อต่อไปนี้ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี
เขียนจำนวนเงินหรือข้อความเท็จในสัญญาที่กู้ยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
เรียกเอาประโยชน์อื่น นอกจากดอกเบี้ย มากกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น เงิน สิ่งของ (แหวน ต่างหู พระเครื่อง หรือวิธีการอื่นๆ (ให้ชำระหนี้ที่เจ้าหนี้เป็นหนี้กับบุคคลอื่น ...)
นอกจากโทษที่เพิ่มขึ้น หากพบว่าเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด กฎหมายทางแพ่งมีผลให้ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตกเป็นโมฆะทั้งหมด แต่จำนวนเงินต้นที่มีการกู้ยืมยังสมบูรณ์ ผู้ให้กู้ (เจ้าหนี้) มีสิทธิเรียกร้องคืนได้ เพราะเป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยที่เรียกเกิน เท่านั้น
ในส่วนของอายุความ ที่ต้องถูกจำคุกเพิ่มเป็นไม่เกิน 2 ปี ทำให้อายุความในการฟ้องคดีอาญาเพิ่มขึ้นไปด้วย กล่าวคือ ต้องฟ้องคดีภายใน 10 ปี นับจากวันกระทำความผิด
ในขณะเดียวกัน ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะรับโอนสิทธิเรียกร้องโดยมีค่าตอบแทนในการรับโอน หรือเป็นการให้เปล่า (ให้โดยเสน่หา) ก็อาจต้องรับผิดเช่นเดียวกับเจ้าหนี้ผู้โอนสิทธิเรียกร้อง เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ให้กู้หลีกเลี่ยงช่องโหว่ทางกฎหมาย
สิ่งที่ลูกหนี้ต้องรู้
สำหรับผู้ที่กำลังจะเซ็นสัญญากู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ นอกจากข้อกฎหมายที่ต้องรู้ เพื่อเอาผิดเจ้าหนี้ที่ละเมิดข้อกำหนด ที่ลูกหนี้ต้องทำความเข้าใจแล้ว ต้องศึกษาเรื่องของ ‘ข้อยกเว้น’ ให้เข้าใจชัดแจ้งด้วย
‘ข้อยกเว้น’ ดังกล่าว กำหนดไว้ 3 กรณี ดังนี้
การให้กู้ยืมเงินโดยสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ โดยผู้ให้กู้สามารถเรียกดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ (เป็นไปตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 และพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551)
นอกจากนั้น ผู้ประกอบกิจการสินเชื่อรายย่อยที่ได้รับอนุมัติ (Non-Bank) ก็สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ได้เช่นกัน เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ (ประกาศกระทรวงการคลัง เพราะเป็นการให้กู้ยืมเงินจำนวนไม่สูงนัก และไม่มีหลักประกัน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ให้กู้จะไม่ได้รับเงินคืน จึงจำเป็นต้องเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี) แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (อัตรารวมสูงสุดของดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม)การจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ การกู้ยืมโดยมี ‘ทรัพย์สิน’ เป็นหลักประกัน (การจำนำ) โดยยืดถือตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 มาตรา 17 ให้โรงรับจำนวนมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เกินร้อยละ 15 ต่อปี
การเรียกเก็บดอกเบี้ยโดยใช้หลักกฎหมายเรื่องอื่นที่ไม่เป็นการกู้ยืม เช่น สัญญาเช่าซื้อ หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน เช่นกรณีสัญญาธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่ถูกควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 บังคับใช้เฉพาะสัญญาเช่าซื้อที่ทำตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
- THE STANDARD WEALTH
- บทความ ‘การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากับความเป็นธรรมในสังคมไทย’ ของ ศ. ดร.เสาวนีย์ อัศวโรจน์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และปัจจุบันดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช